ฝ่าย วิเคราะห์แผนร่วมพัฒนาโครงการเพื่อธุรกิจ DHG - PPP. THAILAND
1.Dr.Samai Hemman
2.Dr.Teernun Suttisrisung
3.WG.CDR. Disppon Marpatt
DHG - D-HOUSE-GROUP ฝ่ายบริหารสินทรัพย์เพื่อธุรกิจอุตสาหกรรมเมืองมหาชัย
DHG - D-HOUSE-GROUP ฝ่ายบริหารสินทรัพย์เพื่อธุรกิจอุตสาหกรรมเมืองมหาชัย
"PPP Fast Track" ต้องมีธรรมาภิบาล
นายศรีสุวรรณ จรรยา
นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน
www.thaisgwa.com
เมื่อวันอังคารคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอเหตุเพราะที่ผ่านมาเกิดความล่าช้าในการดำเนินโครงการร่วมลงทุนฯ โดยมีสาเหตุหลักจากความครบถ้วนและความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในการจัดเตรียมโครงการ และขาดการประสานงานร่วมกันของหน่วยงานเจ้าของโครงการ กระทรวงเจ้าสังกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความชัดเจนในด้านการปฏิบัติงานและการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง ไม่มีการเตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินการในขั้นตอนต่อๆ ไปของโครงการนั่นเอง
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการคัดเลือกเอกชนในการร่างประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุน ร่างขอบเขตของโครงการ และร่างสัญญาร่วมลงทุน ของหน่วยงานเจ้าของโครงการตามมาตรา 33 ของ พรบ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ คือ
1. ให้หน่วยงานที่มีผู้แทนในองค์ประกอบของคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 35 ของ
พรบ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 ซึ่งประกอบด้วย หน่วยงานเจ้าของโครงการ สำนักงบประมาณ อสส. และ สคร. เริ่มจัดทำร่างประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุน ร่างขอบเขตของโครงการ และร่างสัญญาร่วมลงทุน ตั้งแต่รัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดให้ความเห็นชอบโครงการแล้ว ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบโครงการร่วมลงทุนฯ
2. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกและปรับปรุงร่างประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุน ร่างขอบเขตของโครงการ และร่างสัญญาร่วมลงทุน ตามข้อ 1. ให้สอดคล้องกับที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบโครงการร่วมลงทุนฯ
3. ให้คณะกรรมการคัดเลือกพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุน ร่างขอบเขตของโครงการและร่างสัญญาร่วมลงทุน ให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบโครงการร่วมลงทุนฯ
เนื่องจากการดำเนินมาตรการ PPP Fast Track จะต้องใช้ทรัพยากรบุคคลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก คณะรัฐมนตรีจึงให้ประธานกรรมการนโยบายฯ(รองนายกสมคิด จตุศรีพิทักษ์) เป็นผู้คัดเลือกโครงการร่วมลงทุนฯ ที่จะให้ดำเนินการตามมาตรการ PPP Fast Track และเพื่อให้มีกลไกควบคุมมาตรการ PPP Fast Track ให้สามารถดำเนินการตามเป้าหมายและกำหนดเวลาข้างต้น จึงมอบหมายให้คณะกรรการนโยบายฯ กำกับติดตามโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track ด้วย
มติดังกล่าวอาจทำให้สามารถร่นระยะเวลาในการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ แต่ทว่าในการจัดทำข้อมูลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการนั้น ๆ จะต้องมีการพิจารณาโครงการร่วมลงทุนฯ อย่างรอบคอบและมีความโปร่งใส เนื่องจากเป็นการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะตามเป้าหมายที่ภาครัฐต้องการในระยะเวลา 20-30 ปี เพื่อให้เอกชนสามารถลงทุนและให้บริการแก่ประชาชนได้ และประชาชนสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
ก่อนหน้านี้รองนายกฯสมคิด ออกมาให้ข่าวต่อสื่อมวลชนว่าต้องการที่จะลดระยะเวลาขั้นตอนการทำงานที่ล่าช้าบางขั้นตอน เช่น ขั้นตอนการทำการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) และขั้นตอนการลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ซึ่งปกติจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปีลงมาให้เร็วขึ้นซึ่งอาจจะไม่เกิน 1 ปี
ในขณะที่นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมช.คมนาคม ได้หารือร่วมกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจ็ก) จำนวน 20 โครงการโดยจะเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิจารณาใช้อำนาจตามมาตรา 44 ลดขั้นตอนการดำเนินงาน
สำหรับอำนาจตามมาตรา 44 คาดว่าจะนำมาช่วยลดกระบวนการในขั้นตอนการพิจารณาในส่วนของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) การพิจารณาของคณะกรรมการบริษัท รวมไปถึงกระบวนการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งเดิมทีจะใช้เวลาในการดำเนินการประมาณ 1-2 ปี
ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จำนวน 20 โครงการ ใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 1.8 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย 1.มอเตอร์เวย์สายพัทยา-มาบตาพุด 2.มอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา 3.มอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี 4.ท่าเทียบเรือชายฝั่ง 5.ศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟท่าเรือแหลมฉบัง 6.ขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 7.รถไฟทางคู่ชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น 8.รถไฟทางคู่มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ 9.รถไฟทางคู่นครปฐม-ชุมพร 10.รถไฟทางคู่ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร 11.รถไฟทางคู่ลพบุรี-ปากน้ำโพ 12.รถไฟทางคู่กรุงเทพฯ-หนองคาย 13.รถไฟทางคู่กรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ 14.รถไฟทางคู่กรุงเทพฯ-หัวหิน 15.รถไฟทางคู่กรุงเทพฯ-ระยอง16.รถไฟฟ้าสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี 17.รถไฟฟ้าสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี 18.รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง 19.รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อนและสายสีแดงเข้ม 20.รถไฟฟ้าสายสีม่วง เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ เป็นต้น
นอกจาก 20 โครงการเหล่านี้แล้ว ยังมีโครงการเมกะโปรเจ็กอื่น ๆ ที่รัฐบาลซ่อนเร้นไว้และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้นในสังคมหากเร่งรัดเร่งรีบจนมองข้าม "หลักธรรมาภิบาล" ไปเสีย เช่น โครงการท่าเทียบเรือปากบารา ที่ จ.สตูล โครงการโรงไฟฟ้ากระบี่ เทพา และที่หัวไทร รวมทั้งโครงการเขื่อนขนาดใหญ่ที่หน่วยงานเจ้าของโครงการกระเหี้ยนกระหือที่จะเสนอใช้ ม.44 โดยไม่อยากปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอน วิธีการ ตามที่กฎหมายกำหนดเสียก่อน
กรณีดังกล่าวถ้านายกรัฐมนตรีเชื่อข้าราชการมากกว่าเชื่อเสียงของชาวบ้านก็มีหวังจะต้องผิดใจกับชาวบ้านถึงขั้นต้องสู้กันถึงโรงถึงศาลเป็นแน่แท้ เพราะชาวบ้านคงไม่มีใครยอมให้โครงการของรัฐมาทำลายวิถีชีวิต ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เป็นต้นทุนการดำรงชีพของพวกเขาและอนาคตของลูกหลานของเขาเป็นแน่แท้
แต่หากรัฐบาลกล้าที่จะผลักดันโครงการที่จะก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนกับชาวบ้านจริง ลองหันกลับไปดูกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนที่ดินและการจ่ายค่าสินไหมทดแทนและผลประโยชน์อื่นของชาวบ้านในปัจจุบันเสียหน่อยไหมครับว่า ข้าราชการของท่านชงเรื่องพรรค์นี้ไว้เหมาะสมมากน้อยไว้เพียงใด การเวนคืนที่ดินช่วยแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนเจ้าของที่ดินให้เหมือนถูกหวยได้ไหม รวมทั้งต้องจ่ายค่าเสียโอกาสในอาชีพ ในวิถีชุมชน และค่าขนย้ายให้กับเขาเหล่านั้นให้เพียงพอ อย่ามองเห็นที่ดินชาวบ้านเป็นเพียงเครื่องมือแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ของรัฐบาลจนมองข้ามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทยน้อยกว่าของนายทุนขุนศึกนะครับท่าน...เดี๋ยวเวลาลงจากหลังเสือแล้วจะได้ไม่ต้องถูกเสือกัดครับ
นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน
www.thaisgwa.com
เมื่อวันอังคารคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอเหตุเพราะที่ผ่านมาเกิดความล่าช้าในการดำเนินโครงการร่วมลงทุนฯ โดยมีสาเหตุหลักจากความครบถ้วนและความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในการจัดเตรียมโครงการ และขาดการประสานงานร่วมกันของหน่วยงานเจ้าของโครงการ กระทรวงเจ้าสังกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความชัดเจนในด้านการปฏิบัติงานและการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง ไม่มีการเตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินการในขั้นตอนต่อๆ ไปของโครงการนั่นเอง
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการคัดเลือกเอกชนในการร่างประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุน ร่างขอบเขตของโครงการ และร่างสัญญาร่วมลงทุน ของหน่วยงานเจ้าของโครงการตามมาตรา 33 ของ พรบ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ คือ
1. ให้หน่วยงานที่มีผู้แทนในองค์ประกอบของคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 35 ของ
พรบ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 ซึ่งประกอบด้วย หน่วยงานเจ้าของโครงการ สำนักงบประมาณ อสส. และ สคร. เริ่มจัดทำร่างประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุน ร่างขอบเขตของโครงการ และร่างสัญญาร่วมลงทุน ตั้งแต่รัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดให้ความเห็นชอบโครงการแล้ว ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบโครงการร่วมลงทุนฯ
2. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกและปรับปรุงร่างประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุน ร่างขอบเขตของโครงการ และร่างสัญญาร่วมลงทุน ตามข้อ 1. ให้สอดคล้องกับที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบโครงการร่วมลงทุนฯ
3. ให้คณะกรรมการคัดเลือกพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุน ร่างขอบเขตของโครงการและร่างสัญญาร่วมลงทุน ให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบโครงการร่วมลงทุนฯ
เนื่องจากการดำเนินมาตรการ PPP Fast Track จะต้องใช้ทรัพยากรบุคคลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก คณะรัฐมนตรีจึงให้ประธานกรรมการนโยบายฯ(รองนายกสมคิด จตุศรีพิทักษ์) เป็นผู้คัดเลือกโครงการร่วมลงทุนฯ ที่จะให้ดำเนินการตามมาตรการ PPP Fast Track และเพื่อให้มีกลไกควบคุมมาตรการ PPP Fast Track ให้สามารถดำเนินการตามเป้าหมายและกำหนดเวลาข้างต้น จึงมอบหมายให้คณะกรรการนโยบายฯ กำกับติดตามโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track ด้วย
มติดังกล่าวอาจทำให้สามารถร่นระยะเวลาในการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ แต่ทว่าในการจัดทำข้อมูลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการนั้น ๆ จะต้องมีการพิจารณาโครงการร่วมลงทุนฯ อย่างรอบคอบและมีความโปร่งใส เนื่องจากเป็นการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะตามเป้าหมายที่ภาครัฐต้องการในระยะเวลา 20-30 ปี เพื่อให้เอกชนสามารถลงทุนและให้บริการแก่ประชาชนได้ และประชาชนสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
ก่อนหน้านี้รองนายกฯสมคิด ออกมาให้ข่าวต่อสื่อมวลชนว่าต้องการที่จะลดระยะเวลาขั้นตอนการทำงานที่ล่าช้าบางขั้นตอน เช่น ขั้นตอนการทำการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) และขั้นตอนการลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ซึ่งปกติจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปีลงมาให้เร็วขึ้นซึ่งอาจจะไม่เกิน 1 ปี
ในขณะที่นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมช.คมนาคม ได้หารือร่วมกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจ็ก) จำนวน 20 โครงการโดยจะเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิจารณาใช้อำนาจตามมาตรา 44 ลดขั้นตอนการดำเนินงาน
สำหรับอำนาจตามมาตรา 44 คาดว่าจะนำมาช่วยลดกระบวนการในขั้นตอนการพิจารณาในส่วนของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) การพิจารณาของคณะกรรมการบริษัท รวมไปถึงกระบวนการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งเดิมทีจะใช้เวลาในการดำเนินการประมาณ 1-2 ปี
ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จำนวน 20 โครงการ ใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 1.8 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย 1.มอเตอร์เวย์สายพัทยา-มาบตาพุด 2.มอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา 3.มอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี 4.ท่าเทียบเรือชายฝั่ง 5.ศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟท่าเรือแหลมฉบัง 6.ขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 7.รถไฟทางคู่ชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น 8.รถไฟทางคู่มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ 9.รถไฟทางคู่นครปฐม-ชุมพร 10.รถไฟทางคู่ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร 11.รถไฟทางคู่ลพบุรี-ปากน้ำโพ 12.รถไฟทางคู่กรุงเทพฯ-หนองคาย 13.รถไฟทางคู่กรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ 14.รถไฟทางคู่กรุงเทพฯ-หัวหิน 15.รถไฟทางคู่กรุงเทพฯ-ระยอง16.รถไฟฟ้าสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี 17.รถไฟฟ้าสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี 18.รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง 19.รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อนและสายสีแดงเข้ม 20.รถไฟฟ้าสายสีม่วง เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ เป็นต้น
นอกจาก 20 โครงการเหล่านี้แล้ว ยังมีโครงการเมกะโปรเจ็กอื่น ๆ ที่รัฐบาลซ่อนเร้นไว้และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้นในสังคมหากเร่งรัดเร่งรีบจนมองข้าม "หลักธรรมาภิบาล" ไปเสีย เช่น โครงการท่าเทียบเรือปากบารา ที่ จ.สตูล โครงการโรงไฟฟ้ากระบี่ เทพา และที่หัวไทร รวมทั้งโครงการเขื่อนขนาดใหญ่ที่หน่วยงานเจ้าของโครงการกระเหี้ยนกระหือที่จะเสนอใช้ ม.44 โดยไม่อยากปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอน วิธีการ ตามที่กฎหมายกำหนดเสียก่อน
กรณีดังกล่าวถ้านายกรัฐมนตรีเชื่อข้าราชการมากกว่าเชื่อเสียงของชาวบ้านก็มีหวังจะต้องผิดใจกับชาวบ้านถึงขั้นต้องสู้กันถึงโรงถึงศาลเป็นแน่แท้ เพราะชาวบ้านคงไม่มีใครยอมให้โครงการของรัฐมาทำลายวิถีชีวิต ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เป็นต้นทุนการดำรงชีพของพวกเขาและอนาคตของลูกหลานของเขาเป็นแน่แท้
แต่หากรัฐบาลกล้าที่จะผลักดันโครงการที่จะก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนกับชาวบ้านจริง ลองหันกลับไปดูกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนที่ดินและการจ่ายค่าสินไหมทดแทนและผลประโยชน์อื่นของชาวบ้านในปัจจุบันเสียหน่อยไหมครับว่า ข้าราชการของท่านชงเรื่องพรรค์นี้ไว้เหมาะสมมากน้อยไว้เพียงใด การเวนคืนที่ดินช่วยแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนเจ้าของที่ดินให้เหมือนถูกหวยได้ไหม รวมทั้งต้องจ่ายค่าเสียโอกาสในอาชีพ ในวิถีชุมชน และค่าขนย้ายให้กับเขาเหล่านั้นให้เพียงพอ อย่ามองเห็นที่ดินชาวบ้านเป็นเพียงเครื่องมือแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ของรัฐบาลจนมองข้ามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทยน้อยกว่าของนายทุนขุนศึกนะครับท่าน...เดี๋ยวเวลาลงจากหลังเสือแล้วจะได้ไม่ต้องถูกเสือกัดครับ